Monday, December 31, 2012

จับเสือมือเปล่ากับ Dropship


Drop Ship เป็นโมเดลใหม่ที่จะมาเติมเต็มการทำธุรกิจออนไลน์โดยไม่จำเป็นที่จะต้องสต็อกสินค้า เมื่อใดก็ตามที่มีรายการสั่งซื้อคุณเพียงแค่สั่งซื้อสินค้าจากผู้จัดจำหน่ายและแล้วก็ให้ผู้จัดจำหน่ายส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้เลย แทนที่จะซื้อสินค้ามาเก็บไว้ในโกดัง ตอนแรกคุณต้องสมัครเข้าเป็นพาร์ทเนอร์กับผู้จัดจำหน่ายที่เป็น Drop Ship แล้วเอารูปสินค้าไปวางไว้ในเวบไซต์ของคุณ เมื่อไหร่ที่ได้รับออเดอร์คุณก็ส่งต่อไปยังผู้จัดจำหน่ายให้ส่งของไปลูกค้าโดยตรงจากโกดังสินค้าของ Drop Ship นั้นๆเลย 

ข้อดี 
  • ต้นทุนต่ำ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องสต็อกสินค้า คุณจะซื้อสินค้ามาขายเมื่อคุณได้ออเดอร์เท่านั้น 
  • มีสินค้าให้เลือกมาก พอคุณไม่ได้สต็อกสินค้าคุณก็สามารถลงลิสต์สินค้าได้ตามต้องการเพราะมันไม่มีต้นทุนใดๆ 
  • ลดความเสี่ยง เนื่องจากไม่ได้ซื้อสินค้ามาจำนวนมาก จะมีความเสี่ยงเพียงแค่การลงทุนด้านเวบไซต์ ถ้ามันไม่ขายไม่ออก ก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่มีสินค้าที่เก็บไว้อยู่แล้ว 
  • สามารถทำงานได้ทุกที่ เนื่องจากคุณไม่มีโกดังสินค้า ดังนั้นคุณสามารถนั่งอยู่ตรงไหนทำงานก็ได้ แค่มีคอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ต 
ข้อเสีย 
  • การที่คุณไม่เห็นสินค้าก่อนอาจจะทำให้ไม่สามารถบรรยายลักษณะสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ชัดเจน เวลาลูกค้าได้ของไม่ถูกใจหรือไม่ได้ขนาดตามที่ต้องการ 
  • เนื่องจากว่าสินค้าไม่ได้อยู่กับคุณจึงไม่รู้จำนวนสินค้าในสต็อก ซึ่งข้อมูลนี้จะอยู่กับผู้จัดจำหน่าย เมื่อมีคนสั่งซื้อแต่พอไปสั่งของกลับไม่มีของทำให้เสียลูกค้ารายนั้นไป

โมเดลธุรกิจนี้ทำกำไรได้จริงหรือป่าว มันก็เหมือนกับธุรกิจทั่วไป มีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ดังนั้นจะสำเร็จหรือไม่และกำไรจะดีหรือป่าวขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ถ้าทำแบบถูกวิธีมันก็สร้างผลตอบแทนอย่างงามให้คุณ แต่ก็แน่นอนว่า Drop Ship ไม่ใช่ “คทาวิเศษ” ที่เสกได้ทุกอย่าง ต้องอาศัยการลงมือทำและเวลา เริ่มต้นทำ Drop Ship ถ้าหากมีสินค้าที่สนใจจะขายจริงๆจังๆ ให้ลองติดต่อไปยังผู้ผลิตโดยตรง เพื่อนำสินค้ามาลงในร้านค้าออนไลน์ของคุณ อาจจะตกลงแบ่งผลประโยชน์เมื่อสินค้าขายได้ไปด้วย ลองหาผู้ให้บริการ Drop Ship ที่รวบรวมซัพพลายเออร์ต่างๆไว้ที่เดียวกัน เนื่องจากของไทยยังไม่เป็นที่นิยมจึงขอยกตัวอย่างของต่างประเทศ Doba Worldwidebrands Salehoo เป็นต้น โดยจะมีค่าธรรมเนียมสมัครมีทั้งแบบเป็นรายเดือนและรายปี หรือแม้แต่ตลอดชีพ

Monday, December 10, 2012

การลงโฆษณาออนไลน์


การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ผู้ชมเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ต่างจากร้านค้าทั่วไปที่จะต้องมีลูกค้าเข้ามาแวะเวียนมาในร้านธุรกิจจึงจะประสบความสำเร็จ การที่จะทำให้ร้านค้าออนไลน์ของเรานั้นมีผู้เข้าชมนั้นจะต้องสร้างร้านของเราให้เป็นที่น่าสนใจ แต่ถึงร้านค้าของเราจะน่าสนใจเพียงหากไม่มีคนรู้จักก็ไม่มีความหมาย จึงต้องอาศัยการโปรโมทเวบไซต์ของเราผ่านช่องทางต่างๆ แต่วิธีการที่เร็วที่สุดก็คือการลงโฆษณาในสื่อออนไลน์อย่าง Google หรือ Facebook โดยปกติทั่วไปโฆษณาออนไลน์จะแบ่งออกเป็น

1. เสียค่าโฆษณาตามจำนวนการแสดงผล (CPM)  จะมีการแสดงผลการโฆษณาตามที่เราซื้อไว้ เช่น เราซื้อโฆษณาไว้จำนวน 10 CPM เท่ากับว่าจะมีการแสดงโฆษณาในหน้าของ Google หรือ Facebook 10,000 ครั้ง (1 CPM=1,000 impression) ในการลงโฆษณาแบบ CPM อาจจะต้องการแค่ประชาสัมพันธ์สินค้าให้คนรู้จักหรือจดจำในทางการตลาดเรียกว่า Brand Awareness ดังนั้นจึงมีจุดประสงค์เพียงแสดงโฆษณาให้คนชมผ่านตา และแสดง Logo ของสินค้าหรือรูปภาพของสินค้านั้นๆ ให้เป็นที่จดจำโดยไม่จำเป็นจะต้องคลิกเข้าไปดู
2.เสียค่าโฆษณาตามจำนวนคนคลิกโฆษณาของคุณ (CPC) โฆษณาแบบนี้ถ้าหากไม่มีคนคลิกโฆษณาของเราเลยก็จะไม่เสียเงิน โดยการลงแบบ CPC ส่วนใหญ่จะต้องการให้ผู้เข้าชมนั้นคลิกเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มหรือมีจุดประสงค์ทางการตลาดเฉพาะอย่าง เช่น ให้ผู้ชมนั้นคลิกเข้าไปซื้อสินค้าในหน้าเวบ (Landing Page) นั้น

การจะเลือกลงแบบไหนก็ขึ้นอยู่ว่าคุณต้องการทำการตลาดแบบไหน แต่ถ้าหากเป็นการทำโฆษณาแบบ CPC ที่จะมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนการคลิกโฆษณานั้น อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่บานปลาย ดังนั้นจะต้องมีการทดสอบว่าจะสร้างโฆษณาแบบไหนที่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดและเสียต้นทุนในการลงโฆษณาน้อยที่สุด วิธีการที่นิยมที่สุดก็คือการทำ A/B Split test โดยการสร้างโฆษณาออกมาเป็นสองแบบอาจจะต่างกันตรงที่คำเชิญชวนหรือรูปภาพประกอบ และส่งโฆษณาไปให้แสดงผลเป็นจำนวน 100 หรือ 1,000 ครั้ง ตามจำนวนงบประมาณที่เรามีถ้าหากมีงบลงโฆษณามากก็ทดสอบมากซึ่งจะให้ความเที่ยงตรงในการแสดงผลมากกว่า
เมื่อแสดงโฆษณาครบตามจำนวนที่เราต้องการก็ให้ดูค่าสถิติว่าแบบไหนมีสถิติดีกว่า เช่น


แบบ A จาก 100 ครั้งมีคนคลิก 10 ครั้ง นำ 10/100 จะได้ค่า CTR (Click Through Rate) เท่ากับ 0.1% แบบ B จาก 100 ครั้งมีคนคลิก 10 ครั้ง นำ 9/100 จะได้ค่า CTR (Click Through Rate) เท่ากับ 0.09% แสดงว่าแบบ A ได้ CTR ที่ดีกว่า


การใช้ CTR เพียงอย่างเดียวไม่อาจจะสรุปว่าแบบ A จะดีกว่าเนื่องจากถ้าหากคนคลิกโฆษณาเยอะ แปลว่าเราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะขึ้นอาจจะไม่คุ้มกับยอดขาย จึงต้องมีการคำนวนอัตราผลตอบแทนด้วยโดยนำจำนวนที่เราขายได้ต่อการคลิกโฆษณามาพิจารณาประกอบด้วย นั่นก็คือ Conversion Rate ซึ่งได้มาจากสูตร จำนวนจำนวนออเดอร์สินค้าหารด้วยจำนวนคลิก เช่น

แบบ A ขายสินค้าได้ 2 ชิ้น Conversion Rate จะเท่ากับ 2/10 = 0.2
แบบ B ขายสินค้าได้ 3 ชิ้น Conversion Rate จะเท่ากับ 3/9 = 0.33

ดังนั้นควรเลือกแบบ B ที่มีค่า  Conversion Rate  สูงกว่า เป็นต้น

Wednesday, December 5, 2012

ทำอันดับโดยใช้ Search Engine Optimization (SEO)


Search Engine Optimization (SEO) คือการกระบวนการทำให้เวบไซต์นั้นปรากฏและทำอันดับอยู่ในหน้าค้นหาของ search engine เช่น Google Yahoo Bing โดยเป็นการทำอันดับในหน้าค้นหา (ไม่ใช่วิธีซื้อโฆษณา) เช่น คนทั่วไปที่กำลังต้องการซื้อ เก้าอี้พับ ก็พิมพ์คำว่า เก้าอี้พับใน google ก็จะปรากฏหน้าเวบต่างๆ ให้เลือก 10 อันดับแรก การที่เวบไซต์ใดจะปรากฎอยู่ในหน้านั้นนั่นก็คือการทำ SEO นั่นเอง จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม แน่นอนว่าเวบไซต์ใดที่ปรากฎอยู่ในหน้านั้นก็จะมีโอกาสขายสินค้าได้มาก ยิ่งคำที่ค้นหาเป็นที่นิยมก็จะยิ่งสร้างโอกาสในการขายสินค้านั้นได้


โดยมี 2 ปัจจัยหลักๆที่จะทำให้เวบไซต์นั้นทำอันดับได้ใน Search Engine คือ

On page
คือกระบวนปรับแต่งโครงสร้างภายในเวบไซต์นั้นๆ  โดยมีหลายปัจจัยที่จะทำให้เวบนั้นติดอันดับได้แก่
1.บทความ (Content) ที่มีคุณภาพ บทความที่มีคุณภาพในสายตาของ Search Engine อาจจะเป็นไปได้ทั้งบทความที่ยาวหรือสั้นก็ได้ แน่นอนว่าต้องเป็นบทความที่ Unique สูงและเป็นบทความที่ไม่ได้เกิดมาจากเกิด copy หรือคัดลอกมาจากที่อื่น เพราะ Search Engine  อย่าง google ให้ความสำคัญกับเวบไซต์ที่มีบทความคุณภาพให้ประโยชน์แก่ผู้ที่เข้าชม แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าบทความไหนที่เป็นบทความที่มีคุณภาพในสายตา Search Engine นั้นสุดยากจะคาดเดา
2.มี Keyword อยู่ตามที่ต่างๆในเวบไซต์ เช่น ชื่อโดเมน(Domain) หัวเรื่อง(Title) บทความ(content) แท็ก(tag) หรือรูปภาพ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการให้คนค้นหาเวบไซต์ของเราด้วยคำว่า “เก้าอี้” ก็ควรจะมี Keyword คำนี้ใส่ลงไปในเวบไซต์ของเรา แต่ไม่ควรที่จะใส่คำเหล่านี้จนมากเกินไปจนมองว่าเป็นการ Spam เพราะ ผู้ให้บริการเวบไซต์ค้นหา (Search Engine) จะมีเครื่องมือในการการวิเคราะห์ การกระจายของกลุ่มคำต่างๆ (keyword density) ถ้าหากใส่คำว่า เก้าอี้ มากเกินไปก็จะทำให้ SE มองว่าเวบไซต์ของเราจงใจทำให้มี keyword มากเกินไปจนจนเข้าข่าย spam ทำให้เวบไซต์ของเราถูกลงโทษโดยการปรับลดอันดับเวบของเรานั่นเอง

Off Page
คือกระบวนการภายนอกที่่่จะเป็นเครื่องยืนยันว่าเวบไซต์เรามีคุณภาพในสายของ Search Engine
1.Link Building คือการทำลิงค์ส่งกลับมาที่เวบไซต์ของเรา โดย Google เชื่อว่าเวบไซต์ใดที่มีลิงค์เข้ามามากก็ถือว่าเป็นเวบไซต์ที่น่าเชื่อถือได้และควรอยู่อันดับที่ดี แต่เนื่องจากปัจจุบันมีการโกงโดย spam ส่งลิงค์เข้าเวบไซต์เป็นจำนวนมากเพื่อจะทำอันดับทำให้ Google นั้นต้องมีการสร้างเครื่องมือเข้ามาจัดการโดยมีการคัดเลือกลิงค์ที่ไม่มีคุณภาพออกไป โดยมีการจัดลำดับความสำคัญของลิงค์ เช่น ถ้าคุณมีลิงค์มาจากเวบดังๆ อย่าง Yahoo CNN จะได้คะแนนดีกว่าเวบไซต์ที่เกิดใหม่และไม่เป็นที่รู้จัก
2.Social Media คือการทำให้เวบไซต์ของเรานั้นถูกแชร์ไปยังสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ เช่น ถ้าหากหน้าเวบของเราหน้าใดถูกคนแชร์เป็นจำนวนมากๆ หน้านั้นก็จะติดอันดับใน Google ได้ดีกว่า หน้าเวบที่ไม่มีการแชร์ใน social เลย การที่เวบของเราจะถูกแชร์ไปจำนวนมากนั้นต้องทำเวบให้มีความน่าสนใจและเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าชมนั่นเอง

การที่บรรดา Search Engine อย่าง google จะจัดอันดับให้เวบไซต์ใดจะได้อยู่ในหน้าแรกหรือได้อันดับดีๆ นั้นจะต้องผ่านกระบวนการคัดกรองโดยใช้ อัลกอริทึม (algorithm) ที่ทาง google คิดขึ้นมาเพื่อนำเสนอเวบไซต์ที่ตรงตามผลการค้นหาของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ google จะมีปรับเปลี่ยนปัจจัยต่างๆอยู่เรื่อยๆ ทำให้เจ้าของเวบไซต์ต่างๆต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากว่าการที่เวบไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ของคุณไม่มีตัวตนอยู่ใน Google เท่ากับว่าผู้เข้าชมหรือยอดขายอาจจะหายไปครึ่งหนึ่งเลย