Monday, December 10, 2012

การลงโฆษณาออนไลน์


การทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ผู้ชมเป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่ต่างจากร้านค้าทั่วไปที่จะต้องมีลูกค้าเข้ามาแวะเวียนมาในร้านธุรกิจจึงจะประสบความสำเร็จ การที่จะทำให้ร้านค้าออนไลน์ของเรานั้นมีผู้เข้าชมนั้นจะต้องสร้างร้านของเราให้เป็นที่น่าสนใจ แต่ถึงร้านค้าของเราจะน่าสนใจเพียงหากไม่มีคนรู้จักก็ไม่มีความหมาย จึงต้องอาศัยการโปรโมทเวบไซต์ของเราผ่านช่องทางต่างๆ แต่วิธีการที่เร็วที่สุดก็คือการลงโฆษณาในสื่อออนไลน์อย่าง Google หรือ Facebook โดยปกติทั่วไปโฆษณาออนไลน์จะแบ่งออกเป็น

1. เสียค่าโฆษณาตามจำนวนการแสดงผล (CPM)  จะมีการแสดงผลการโฆษณาตามที่เราซื้อไว้ เช่น เราซื้อโฆษณาไว้จำนวน 10 CPM เท่ากับว่าจะมีการแสดงโฆษณาในหน้าของ Google หรือ Facebook 10,000 ครั้ง (1 CPM=1,000 impression) ในการลงโฆษณาแบบ CPM อาจจะต้องการแค่ประชาสัมพันธ์สินค้าให้คนรู้จักหรือจดจำในทางการตลาดเรียกว่า Brand Awareness ดังนั้นจึงมีจุดประสงค์เพียงแสดงโฆษณาให้คนชมผ่านตา และแสดง Logo ของสินค้าหรือรูปภาพของสินค้านั้นๆ ให้เป็นที่จดจำโดยไม่จำเป็นจะต้องคลิกเข้าไปดู
2.เสียค่าโฆษณาตามจำนวนคนคลิกโฆษณาของคุณ (CPC) โฆษณาแบบนี้ถ้าหากไม่มีคนคลิกโฆษณาของเราเลยก็จะไม่เสียเงิน โดยการลงแบบ CPC ส่วนใหญ่จะต้องการให้ผู้เข้าชมนั้นคลิกเข้าไปดูข้อมูลเพิ่มหรือมีจุดประสงค์ทางการตลาดเฉพาะอย่าง เช่น ให้ผู้ชมนั้นคลิกเข้าไปซื้อสินค้าในหน้าเวบ (Landing Page) นั้น

การจะเลือกลงแบบไหนก็ขึ้นอยู่ว่าคุณต้องการทำการตลาดแบบไหน แต่ถ้าหากเป็นการทำโฆษณาแบบ CPC ที่จะมีค่าใช้จ่ายตามจำนวนการคลิกโฆษณานั้น อาจจะมีค่าใช้จ่ายที่บานปลาย ดังนั้นจะต้องมีการทดสอบว่าจะสร้างโฆษณาแบบไหนที่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดและเสียต้นทุนในการลงโฆษณาน้อยที่สุด วิธีการที่นิยมที่สุดก็คือการทำ A/B Split test โดยการสร้างโฆษณาออกมาเป็นสองแบบอาจจะต่างกันตรงที่คำเชิญชวนหรือรูปภาพประกอบ และส่งโฆษณาไปให้แสดงผลเป็นจำนวน 100 หรือ 1,000 ครั้ง ตามจำนวนงบประมาณที่เรามีถ้าหากมีงบลงโฆษณามากก็ทดสอบมากซึ่งจะให้ความเที่ยงตรงในการแสดงผลมากกว่า
เมื่อแสดงโฆษณาครบตามจำนวนที่เราต้องการก็ให้ดูค่าสถิติว่าแบบไหนมีสถิติดีกว่า เช่น


แบบ A จาก 100 ครั้งมีคนคลิก 10 ครั้ง นำ 10/100 จะได้ค่า CTR (Click Through Rate) เท่ากับ 0.1% แบบ B จาก 100 ครั้งมีคนคลิก 10 ครั้ง นำ 9/100 จะได้ค่า CTR (Click Through Rate) เท่ากับ 0.09% แสดงว่าแบบ A ได้ CTR ที่ดีกว่า


การใช้ CTR เพียงอย่างเดียวไม่อาจจะสรุปว่าแบบ A จะดีกว่าเนื่องจากถ้าหากคนคลิกโฆษณาเยอะ แปลว่าเราจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะขึ้นอาจจะไม่คุ้มกับยอดขาย จึงต้องมีการคำนวนอัตราผลตอบแทนด้วยโดยนำจำนวนที่เราขายได้ต่อการคลิกโฆษณามาพิจารณาประกอบด้วย นั่นก็คือ Conversion Rate ซึ่งได้มาจากสูตร จำนวนจำนวนออเดอร์สินค้าหารด้วยจำนวนคลิก เช่น

แบบ A ขายสินค้าได้ 2 ชิ้น Conversion Rate จะเท่ากับ 2/10 = 0.2
แบบ B ขายสินค้าได้ 3 ชิ้น Conversion Rate จะเท่ากับ 3/9 = 0.33

ดังนั้นควรเลือกแบบ B ที่มีค่า  Conversion Rate  สูงกว่า เป็นต้น

No comments:

Post a Comment